อัยการสั่งฟ้อง คดี ม.112 ‘ธนาธร’ เหตุไลฟ์สดเรื่องวัคซีนพระราชทาน ขณะนี้รอผลการประกันตัว

อัยการสั่งฟ้อง คดี ม.112 ‘ธนาธร’ เหตุไลฟ์สดเรื่องวัคซีนพระราชทาน ขณะนี้รอผลการประกันตัว

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 65 เวลา 12.30 น. นายกฤษฎางค์ นุตจรัส เปิดเผยว่าวันนี้ทางพนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งในคดีที่พนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้งส่งความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายธนาธร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และความผิด พรบ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2564 ได้ไลฟ์เฟซบุ๊กบรรยายหัวข้อเกี่ยวกับวัคซีนบนเพจคณะก้าวหน้าและเพจนายธนาธร ซึ่งมีเนื้อหาวิจารณ์การจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาลที่มีความล่าช้าและมีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน โดยนายกฤษฎางค์ กล่าวว่าวันนี้พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีคำสั่งฟ้อง นายธนาธร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 เเละ พรบ.คอมพิวเตอร์ เเละนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาเเล้ว ซึ่งศาลมีคำสั่งรับฟ้องเเล้วขณะนี้อยู่ระหว่างกำลังยื่นขอปล่อยชั่วคราวอยู่
.
ด้านผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์สดทางเพจคณะก้าวหน้าในหัวข้อ “วัคซีนพระราชทานฯ : ใครได้-ใครเสีย?” เปิดเผยข้อมูลสำคัญว่าด้วยการจัดหาและผลิตวัคซีนโควิดในประเทศไทย ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายใดรายหนึ่ง, ทำไมประเทศไทยได้วัคซีนช้า, และทำไมรัฐบาลถึงจัดหาวัคซีนได้ไม่ครอบคลุมจำนวนประชากรที่เหมาะสม
.
ธนาธร ระบุว่า การที่คนไทยได้วัคซีนช้าและไม่ครอบคลุมจำนวนประชากร จะส่งผลต่อทิศทางการพัฒนาประเทศในปี 2564 เป็นอย่างมาก หลายประเทศวันนี้เร่งมือฉีดวัคซีนให้กับประชากรแล้ว แต่การที่ประเทศไทยได้วัคซีนช้า ย่อมหมายถึงการเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ การเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน การเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าจากต่างประเทศเริ่มได้ล่าช้า และเพิ่มความเสี่ยงให้กับประชาชน ที่ยังไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้

เหตุผลที่รัฐบาลหาวัคซีนได้ช้า ก็เพราะประมาท ไม่ได้ใส่ใจในการเร่งจัดหาวัคซีนอย่างเหมาะสมทันท่วงที สมัยพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบใหม่ๆ ได้เคยเสนอกับรัฐบาลไปแล้ว ว่าต้องจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอ ให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศโดยเร็วที่สุด แต่ความความประมาททำให้เกิดการเจรจาช้า และเมื่อเจรจาได้เพียงบริษัทเดียวก็ไม่มีความพยายามเจรจากับบริษัทอื่นๆอีกเท่าที่ควร ต่างจากหลายประเทศที่ล้วนแสวงหาวัคซีนจากเอกชนหลายราย

โดยบริษัทเดียวที่ไทยฝากความหวังไว้ก็คือ AstraZeneca ซึ่งมีการจ้างบริษัทผู้ผลิตในประเทศไทยก็คือ Siam Bioscience ไม่มีการเจรจากับบริษัทอื่นเพิ่ม จนเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา จึงมีการประกาศว่าได้มีการเจรจาซื้อวัคซีนเพิ่มกับ Sinovac ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก คือ 2 ล้านโดส เพียงพอสำหรับประชากร 1.5% เท่านั้น

“กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว วันนี้กำลังการผลิตของบริษัทผลิตวัคซีนต่างๆ ได้ถูกจับจองไปเสียมากแล้ว นั่นก็เพราะรัฐบาลเอาปัญหาการฉีดวัคซีนมาเป็นเรื่องเดียวกันกับการสร้างความนิยมทางการเมือง จนละเลยการหาหนทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับประเทศ ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่ารัฐบาลพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากการฝากอนาคตของชาติไว้กับบริษัทรายเดียวหรือไม่?” ธนาธร ตั้งคำถาม

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ